top of page

จากพืชวายร้าย ในวันนี้กัญชากำลังจะกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ผู้กอบกู้พรรณพืชจากโรคภัยและแมลงร้าย 🌱



นับตั้งแต่ที่มนุษย์ชาติรู้จักการใช้พืชกัญชามาเมื่อ 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล บทบาทของกัญชาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยคู่ไปกับอารยธรรมของมนุษย์ที่วิวัฒนาการขึ้นมาตามลำดับ จากพืชสารพัดประโยชน์ที่แรกเริ่มถูกใช้เพื่อการบริโภค เส้นใยก็นำไปถักทอเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เมล็ดถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า น้ำมันสกัดมาเป็นยารักษาโรค และสุดท้ายถูกนำไปเสพเพื่อความบันเทิงเริงใจ กิจกรรมอย่างหลังนี่เองที่ทำให้กัญชาถูกตีตรวนเป็นผู้ร้ายแล้วปิดผนึกกลายเป็นของต้องห้ามในหลายประเทศทั่วโลกมานานหลายสิบปี


แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้น มีการศึกษาวิจัยถึงสารเคมีต่าง ๆ ที่อยู่ในกัญชาแล้วพบว่า สารต่าง ๆ เหล่านี้มีคุณประโยชน์กับมนุษย์มากมายมหาศาล กัญชาไม่สมควรที่จะถูกจองจำอีกต่อไป ทำให้หลายชาติเริ่มปลดตรวนคลายล็อกกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด และในบางประเทศยังอนุญาตให้นำกลับมาใช้เสพเพื่อความบันเทิงด้วยซ้ำ ด้วยมีการวิจัยค้นพบแล้วว่า การเสพกัญชานั้นไม่ได้ให้ผลร้ายต่อร่างกายและสังคมมากไปกว่าการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เลย มนุษย์ชาติเริ่มกลับไปใช้ประโยชน์จากพืชชนิดนี้เหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยใช้มาเมื่อหลายพันปีก่อน

บริษัทวิจัยพรรณพืชแห่งหนึ่งในโคโลราโด (Colorado) สหรัฐอเมริกา

ได้ทดลองทำการ “โคลน” ต้นอ่อนกาแฟปลอดโรคขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ

โดยอาศัยเทคนิคเดียวกับที่ทำใน “ต้นอ่อนกัญชา”


คุณประโยชน์ของกัญชาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในวงการแพทย์ อาหารหรือการสันทนาการเท่านั้น งานวิจัยมากมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาถูกต่อยอดนำไปใช้ประโยชน์กับหลายวงการ ล่าสุดมีบริษัทวิจัยพรรณพืชแห่งหนึ่งในโคโลราโด (Colorado) สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองทำการ “โคลน” ต้นอ่อนกาแฟปลอดโรคขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ โดยอาศัยเทคนิคเดียวกับที่ทำใน “ต้นอ่อนกัญชา”



ต้องขอย้อนไปอธิบายที่มาที่ไปกันก่อนว่าในสหรัฐอเมริกานั้น กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายในหลายๆ รัฐ มีการอนุญาตให้ใช้ ปลูกและครอบครองภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมาย (ในขณะที่บางรัฐอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์เท่านั้น) โคโลราโดเป็นรัฐหนึ่งที่มีการเปิดเสรีกัญชาเพื่อการสันทนาการมาตั้งแต่ปี 2012 และยังเป็นรัฐที่มีจำนวนฟาร์มกัญชาเพื่อธุรกิจมากเป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริการองจากรัฐนิวเม็กซิโก


ในการปลูกกัญชาเพื่อธุรกิจนั้น ฟาร์มทั้งหลายต่างก็ต้องดูแลประคบประหงมกัญชาของตนให้มีผลผลิตคุณภาพดีที่สุดเพื่อจะได้แข่งขันกับฟาร์มอื่นได้ แต่กัญชาก็เหมือนกับพืชชนิดอื่นๆ คือมีศัตรูและโรคตามธรรมชาติที่เป็นปัญหาสำคัญของเกษตรกรผู้ปลูก เนื่องจากการปลูกกัญชาเชิงธุรกิจจำเป็นต้องปลูกในพื้นที่โล่งแจ้ง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกแมลงและเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเล่นงานสูงกว่าการปลูกในโรงเรือน การใช้ยาฆ่าแมลงก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี เพราะมีโอกาสเกิดสารพิษตกค้างเป็นอันตรายกับผู้ใช้ แล้วยังส่งผลเสียต่อธุรกิจมากกว่า ทางออกที่เกษตรกรที่นั่นใช้กันก็คือ “การใช้เมล็ดพันธุ์หรือต้นอ่อนกัญชาที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ให้มีความต้านทานต่อโรคและแมลง”



บริษัท Front Range Biosciences เป็นผู้วิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชที่มีสำนักงานใหญ่ในโคโลราโด มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านพันธุวิศวกรรมมากว่าร้อยปี โดยเฉพาะพืชกัญชาที่บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาจนได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณสมบัติต้านทานโรคและแมลง มีอัตราการงอกสูงและอุดมไปด้วยสาร Cannabinoid ซึ่งสำคัญที่สุดในกัญชา นอกจากนี้บริษัทยังจำหน่ายต้นกัญชาที่โคลนนิ่งมาจากกัญชาพันธุ์พิเศษที่บริษัทปรับปรุงและพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 10 สายพันธุ์ อาทิ Late Choice™, Early Choice™ , Front Range Superfit™, PANAKEIA™ CBG เป็นต้น กัญชาต้นแบบเหล่านี้ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความต้านทานโรค แมลงและความผันผวนของสภาพอากาศ รวมทั้งยังให้ปริมาณของสาร CBD และเทอร์ปีนที่สูงกว่ากัญชาตามธรรมชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ ประโยชน์ของการปลูกกัญชาโดยใช้ต้นที่โคลนนิ่งได้ นอกจากจะช่วยให้ได้ผลผลิตสูงตรงกับความต้องการของตลาดแล้ว ยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์และลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่อาจตกค้างก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค


“กาแฟ” ถือเป็นพืชต้นแบบตัวที่สองที่บริษัทกำลังทำการทดลอง

เนื่องจากกาแฟกับกัญชามีลักษณะที่คล้ายกัน

คือเป็นพืชที่มี “ความอ่อนไหว” ต่อปัจจัยภายนอก



การปรับปรุงสายพันธุ์และโคลนนิ่งต้นกัญชาด้วยเทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรมของ Front Range Biosciences ไม่เพียงให้ประโยชน์เฉพาะกับพืชกัญชาเท่านั้น แต่กำลังจะถูกนำมาใช้กับพืชชนิดอื่น ๆ ด้วย “กาแฟ” ถือเป็นพืชต้นแบบตัวที่สองที่บริษัทกำลังทำการทดลอง เนื่องจากกาแฟกับกัญชามีลักษณะที่คล้ายกันคือเป็นพืชที่มี “ความอ่อนไหว” ต่อปัจจัยภายนอกคือ สภาพอากาศ โรคและแมลง ที่ส่งผลอย่างมากกับผลผลิตที่ได้ Front Range Biosciences นำเทคนิคการ “โคลนนิ่ง” แบบเดียวกับที่ใช้ในกัญชามาทดลองกับกาแฟ ด้วยวิธีการคัดลอกเนื้อเยื่อเพื่อสร้างต้นแบบ “ต้นอ่อนกาแฟปลอดโรค” ซึ่งตอนนี้ มีบริษัท Frinj Coffee ผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่จากแคลิฟอร์เนียได้ทำสัญญาซื้อขายต้นอ่อนกาแฟโคลนนิ่งจำนวนกว่า 3 ล้านต้น ภายในกรอบระยะเวลา 4 ปี นอกจากกาแฟแล้ว Front Range Biosciences ยังมีแผนที่จะนำเทคนิคการโคลนนิ่งกัญชาไปต่อยอดใช้กับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ อีกในอนาคต


สายพันธุ์กาแฟที่ Front Range Biosciences จะนำไปปรับปรุงพันธุ์

ก่อนที่ทำการโคลนนิ่งได้แก่ Geisha, Laurina และ Catuarra

ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลัก ๆ ที่ปลูกในฟาร์ม Frinj Coffee



สำหรับสายพันธุ์กาแฟที่ Front Range Biosciences จะนำไปปรับปรุงพันธุ์ก่อนที่ทำการโคลนนิ่งได้แก่ Geisha, Laurina และ Catuarra ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักๆ ที่ปลูกในฟาร์ม Frinj Coffee


การใช้เทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรมที่ได้จากการปลูกกัญชามาใช้กับกาแฟ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของพืชกัญชาที่ปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในด้านของการแพทย์และการบริโภคเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงความยั่งยืนของเกษตรกรรมของมนุษย์ชาติพร้อมทั้งเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ร้อยกี่พันปี มนุษย์ก็ยังคงต้องพึ่งพาพืชชนิดนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

271 views0 comments
bottom of page